4,587 views | Share
ความลับของเชียบัตเตอร์
แม้ว่าไม้หลายชนิดจะให้น้ำมันและบัตเตอร์ แต่ในเชียบัตเตอร์มีความแตกต่างตรงที่เชียบัตเตอร์จะประโยชน์ถึง 2 ส่วนด้วยกัน คือ (1) ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว (Moisturizing fraction) เชียบัตเตอร์จะซึบซาบผ่านผิวหนังได้อย่างรวดเร็ว เมื่อทาเชียบัตเตอร์ลงสู่ผิวที่อุณหภูมิร่างกาย เชียบัตเตอร์จะละลายทำให้เกลี่ยไปกับผิวได้ง่าย ไม่เหนอะหนะ ทำให้ผิวนุ่มเนียน และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวได้ดี และ (2) ในเรื่องของการรักษา (Healing fraction) เมื่ออายุมากขึ้นเซลล์ผิวหนังจะเป็นรูมากขึ้น ยืดหยุ่นน้อยลง เชียบัตเตอร์จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้เซลล์ผิวหนังกลับมายืดหยุ่นได้เหมือนเดิม และเมื่อใช้อย่างสม่ำเสมอเซลล์ผิวจะปล่อยให้ความชื้นซึมผ่านเซลล์ ในขณะเดียวกันก็จะรักษาความชื้นของผิวให้คงอยู่
เชียบัตเตอร์ (Shea Butter) เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ที่ได้มาจากเชียนัท (Shea Nut) ที่เป็นส่วนของเมล็ดที่ได้จากต้น Karitie ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในทวีปอัฟริกาตะวันตก ที่จะออกดอกในช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม ในเชียบัตเตอร์มีน้ำมันเชีย ซึ่งเป็นสมุนไพรชนิดพิเศษที่ให้วิตามินเอ ดี อี เอฟ โปรตีนและใยอาหาร นอกจากนี้ยังมีกรดซันนามิก ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี และยังทำให้ผิวเปล่งปลั่งกระจ่างใส
วิตามินเอในเชียบัตเตอร์บอกได้ว่าเป็นวิตามินเอจากธรรมชาติแท้ 100% ถือว่าเป็น Moisturizer ที่ดีที่สุด วิตามินเอสามารถปรับสภาพ และช่วยฟื้นฟูผิว เช่น รอยเหี่ยวย่น ผื่นคัน ผิวหนังอักเสบแบบไม่ร้ายแรง นอกจากวิตามินเอแล้ว เชียบัตเตอร์ยังมีวิตามินอี ที่สามารถปกป้องริ้วรอยแห่งวัย ต่อต้านสารอนุมูลอิสระ และช่วยฟื้นฟูสภาพผิว
ไม่เพียงเท่านั้นเชียบัตเตอร์มีส่วนประกอบของกรดไขมันอีก 5 ชนิด ได้แก่ กรดสเตียริก (Stearic Acid) กรดปาลมิติ (Palmitic Acid) กรดไลโนเลอิค (Linoleic Acid) กรดโอเลอิก (Oleic Acid) และกรดอะราคิโดนิก (Arachidonic Acicd) ซึ่งกรดไขมันทั้งหมดมีคุณสมบัติที่ช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้ผิว และทำให้ผิวอ่อนนุ่มยิ่งขึ้น
เราจึงพบว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตั้งแต่เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว แชมพู และเวชสำอาง จะมีส่วนผสมของเชียบัตเตอร์ผสมอยู่ เนื่องด้วยเชียบัตเตอร์จะช่วยดูแลผิวที่แห้งขาดความชุ่มชื้น และลดเลือนริ้วรอย รวมถึงใช้สำหรับรักษาปัญหาผิวอีกด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลส่วนหนึ่งจาก Effects of topical and dietary use of shea butter on animals. โดย Malachi Oluwaseyi Israel ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Life Sciences. Vol. 2, No. 5, 2014, pp. 303-307.